สนธิเปิดหมดเปลือก"นิรโทษกรรมเสื้อเหลือง-เสื้อแดง"
คำต่อคำ “สนธิ ลิ้มทองกุล” รายการ News Talk ตังจริงเสียงจริง เมื่อวันที่ 16 ก.ย.62
รายการ “News Talk ตัวจริงเสียงจริง” พื้นที่ของความจริงและแสวงหาความจริงร่วมกัน ดำเนินรายการโดย นพรัฐ พรวนสุข บรรณาธิการข่าวการเมือง เผยแพร่ทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ News1 และสถานีโทรทัศน์ News1 วันที่ 16 ก.ย.62 สนทนากับ สนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ภายหลังจากได้รับพระราชทานอภัยโทษและออกจากเรือนจำเมื่อ 12 วันก่อน
มีคำถามที่หลายคนฟังแล้วอดตะลึงไม่ได้ถึงเบื้องหลังเหตุการณ์ในอดีตที่หลายคนไม่เคยรู้มาก่อน
-บทสนทนาสนธิ-จตุพร
-เบื้องหลังชุมนุมพันธมิตร
-กปปส.คือไฟต์บังคับให้สุเทพตัดใจออกจากที่ซุ่ม
ลองไปติดตาม
นพรัฐ- และทีนี้มันมีหลังจากที่คุณสนธิเข้าไปได้สักปีหนึ่ง ประมาณนี้ ก็มีคุณตู่ จตุพร เขาออกมาพูดกับสื่อว่าระหว่างเขาถูกจองจำอยู่ เขาได้พบปะกับคุณสนธิและได้พูดคุยกันหลายครั้ง และก็มีการเห็นชอบในแนวทางและแนวคิดในทางการเมือง ในการขับเคลื่อนงานการเมืองร่วมกัน ตรงนี้ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
สนธิ- คุณจตุพรไม่ได้เจอผมในคุกหรอก คุณจตุพรอยู่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ เรือนจำพิเศษกรุงเทพ อยู่ติดกับเรือนจำคลองเปรม พิเศษกรุงเทพรับนักโทษที่มีโทษต่ำกว่า 15 ปี แต่ของผมมันเกิน 15 ปี เลยถูกส่งมาคลองเปรม ผมไปเจอคุณจตุพรที่ศาลอาญา ตอนขึ้นศาลในคดี เขาก็ขึ้นคดีของเขา ผมก็ขึ้นคดีของผม ตอนระหว่างที่อยู่ใต้ถุนศาลก็เจอกัน นั่งด้วยกัน นั่งอยู่ในห้องด้วยกัน ห้องขัง ก็เลยมีการคุยกันยาว ผมคุยกับคุณตู่เฉยๆ ว่า เฮ้ย ตู่ สิ่งที่คุณสู้ กับสิ่งที่ผมสู้น่ะ ไม่ต่างกัน เพียงแต่ว่าคุณก้าวไม่ข้ามทักษิณ ชินวัตร นั่นข้อแรกซึ่งผมไม่เห็นด้วย ข้อที่สอง พวกคุณเสื้อแดงไม่ได้แสดงเจตนารมณ์ที่ชัดเจนเรื่องเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์เลยแม้แต่นิดเดียว และมิหนำซ้ำ กลุ่มพวกคุณ ไม่ว่าจะเป็นจักรภพ เพ็ญแข ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่หนีอยู่ต่างประเทศ เป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับพวกคุณโดยตรง แล้วก็มีพฤติกรรมก้าวร้าว จาบจ้วง และมีเจตนารมณ์ที่ไม่ต้องการให้ประเทศไทยมีสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าคุณตัดเรื่องทักษิณ ตัดเรื่องนี้ออกไป ผมถามว่าสิ่งที่คุณสู้กับสิ่งที่ผมสู้ หลักการไม่ได้ต่างกันเลย คุณสู้เพื่อความเป็นประชาธิปไตย คุณสู้เพื่อการกระจายอำนาจ คุณสู้โน่นสู้นี่ เหมือนกัน ผมก็เช่นกัน ผมสู้เพื่อความโปร่งใส สู้เพื่อการต่อต้านคอร์รัปชัน เราไม่ต่างอะไรกันเลย ต่างกันแค่ 2 ข้อนี้ นี่คือสิ่งที่ผมพูดกับเขา
นพรัฐ- อ๋อ แล้วเขาก็มาขยายความ
สนธิ- ผมไม่ได้เจอเขาในคุก ผมเจอเขาที่ศาลอาญา
นพรัฐ- เพราะว่าอยู่คนละคุก กรุงเทพพิเศษ กับคลองเปรม
สนธิ- ครับ
นพรัฐ- คุณสนธิได้ออกมาและประกาศชัดเจนวันที่พบพนักงานของพวกเราที่ผู้จัดการ ว่าต่อไปก็จะไม่ออกมาต่อสู้ทางถนนอีกแล้ว เป็นเพราะคุณสนธิรู้สึกว่าไม่อยากที่จะตัดชุดวิวาห์ให้คนอื่นใส่อีกแล้วหรือเปล่า
สนธิ- คุณจะพูดอย่างนั้นก็ถูก ผมต่อสู้บนถนนมาในฐานะแกนนำมวลชนตั้งแต่ปี 2548 ตั้งแต่การออกทีวีช่อง 9 เมืองไทยรายสัปดาห์
นพรัฐ- ซึ่งเป็น 13 ปีที่ถูกปลด เมื่อวานนี้ วันที่ 15 กันยายน
สนธิ- ถูกต้อง ผมสู้มาตลอด และผมก็เห็นว่าตอนที่ผมสู้ทักษิณตอนนั้น ไม่มีใครกล้าสู้เลยแม้แต่คนเดียว คุณสุเทพก็ไม่กล้าสู้ อยู่แต่ในสภาฯ อาจจะมีข้อจำกัดที่ท่านเป็น ส.ส. มิหนำซ้ำคุณสุเทพในส่วนตัวก็มีการลงทุนร่วมกับคุณทักษิณ ในเรื่องโค-ออป ที่สุราษฎร์ธานี เอาล่ะ ไม่เป็นไร ผมสู้มา ผ่านมาทุกอย่าง แล้วในระหว่างที่ต่อสู้ คือ เอาอย่างนี้ อุปมาอุปไมยเหมือนบ้านไฟดับ ผมคือสวิตช์ไฟใหญ่ พอผมสับสวิตช์ปั๊บ ไฟมันเปิดปุ๊บ ก็มีคนวิ่งเข้ามาเสียบปลั๊กโทรศัพท์มือถือ เสียบปลั๊กพัดลม คุณเข้าใจหรือเปล่า เสียบปลั๊กเครื่องปิ้งขนมปัง มีคนมาร่วมเยอะมาก มาร่วมโดยที่กลุ่มคนพวกนี้ไม่ชอบทักษิณ ไม่เห็นด้วยกับทักษิณ ไม่ชอบเสื้อแดง แต่ขาดคนที่จะนำหน้า เผอิญผมนำหน้าแล้วประชาชนเห็นว่าสิ่งที่ผมสู้นั้น และสิ่งที่ผมสู้ผมไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง เพราะผมไม่ใช่นักการเมือง ผมสู้เพราะผมทนไม่ได้กับการที่คุณทักษิณทำร้ายประเทศไทยหลายๆ กรณีและหลายๆ วิธี ก็เลยมีคนเข้ามาร่วมเยอะแยะไปหมดเลย
คุณไม่สังเกตเหรอเวลาผมชุมนุม มีครัวคนใต้ มีมาจากสุราษฎร์ธานี มีมาจากเกาะสมุย จริงๆ ก็คือพวกพรรคประชาธิปัตย์นั่นเอง แต่ว่าเนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์ก็จะเก่งแต่ปากในยุคนั้น แต่เดินชนแล้วไม่กล้าเดินชน ผมจำเป็นต้องทำหน้าที่นี้ แต่เขาก็ให้กำลังใจผม ด้วยการส่งคนขึ้นมาชุมนุม มาจัดครัว จัดโน่นจัดนี่ นั่นคือที่มาของมัน
เมื่อมาถึงวันนี้คุณถามว่าตัดเสื้อวิวาห์ให้คนอื่นหรือเปล่า ก็อาจจะจริง เพราะผมจำได้ว่าวันที่เราชุมนุมที่สนามบิน แล้วศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคไปเรียบร้อยแล้ว และมีการตั้งรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นในค่ายทหาร แล้วคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกรัฐมนตรี คุมตำรวจ ผมก็ดีใจ คิดว่าอย่างน้อยที่สุดผมก็คิดว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ดีที่สุดในเวลานั้น ในเวลานั้นนะ แต่พอพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมามีอำนาจ สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ทำก็ไม่ได้ต่างจากพรรคเพื่อไทยที่ทำ ก็คือ แสวงหาอำนาจ เพิ่มเติมอำนาจ พยายามต่อยอดอำนาจ เพราะฉะนั้นสิ่งที่คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับคุณสุเทพทำ ก็ไม่ต่างกว่าพรรคเพื่อไทยทำ ไม่ได้ต่างกว่า คสช.ทำ ไม่ได้ต่างกว่า พล.อ.ประยุทธ์ นี่คือการเมือง และผมก็ผิดหวัง ผิดหวังตรงที่ว่าในระหว่างที่เราประท้วง หลายๆ ประเด็น เรื่องเขมร เรื่อง ปตท. พวกนี้ เขาเห็นด้วยกับเรา เมื่อเขาเห็นด้วยกับเรา แต่พอเขาขึ้นมาปั๊บ เขาเริ่มไม่เห็นด้วยกับเราแล้ว กว่าผมจะตัดสินใจเรียกพ่อแม่พี่น้องประชาชนมาชุมนุมที่หน้ารัฐสภาตอนนั้น เขาต้องการแก้รัฐธรรมนูญ ผมต้องเหนื่อย ตัดสินใจเด็ดขาด เอาหรือไม่เอา เพราะคนเขามองว่าพรรคประชาธิปัตย์กับพันธมิตรฯ มันเป็นพันธมิตรฯ นี่นา แต่พอชุมนุมแล้วก็มีสายประชาธิปัตย์เริ่มตีตัวออกไป ผมบอกไม่เป็นไร ผมพร้อมที่จะทำในสิ่งที่ผมเชื่อมั่น ผมก็เดินหน้าต่อไปของผม เดินหน้าไปตลอด จนกระทั่งพรรคประชาธิปัตย์สูญเสียอำนาจ พอสูญเสียอำนาจแล้ว ผมจำได้ว่าพอคุณยิ่งลักษณ์ขึ้นมา หลังคุณสมชายจบไปแล้ว คุณยิ่งลักษณ์ขึ้นมา ผมจำได้ว่ามีผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์โทรศัพท์มาหาผม แล้วบอกว่าคุณสนธิจะชุมนุมไหม จะให้ผมออกอีกไง แต่ผมรู้ทัน ผมตั้งเป้าไว้แล้วว่า กูจะไม่ให้มึงหลอกใช้กูอีก ผมก็เลยบอกยังงี้ว่า ผมก็เลยประกาศกับแกนนำพันธมิตรฯ ซึ่งมีทั้งคุณจำลอง ศรีเมือง คุณพิภพ ธงไชย คุณปานเทพ ผมบอกกับปานเทพเป็นคนแรกว่า ผมอยากจะสลายแกนนำ คุณจำได้ไหม นั่นหละสัญชาตญาณผมบอกว่าไม่ได้ละ สลายดีกว่า ผมสลายปั๊บนี่ ตอนแรกคุณปานเทพยังไม่เห็นด้วย พี่ลองถาม แล้วเราจะทิ้งมวลชนไปได้อย่างไร ผมบอกว่ามวลชนไม่ใช่ของเรา มวลชนก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง เป็นคนไทย ถ้าเขามีความรักชาติรักแผ่นดิน เขาก็ยังคงรักชาติรักแผ่นดินต่อ ก็เลยทำให้ผมไม่ต้องออก มันก็เลยกลายเป็นการไฟลต์บังคับให้คุณสุเทพต้องออก ส่วนคุณสุเทพจะไปแอบจับมือตกลงกับใคร ผมไม่รู้ แล้วหลังจากนั้นก็เลยเกิด กปปส. เมื่อเกิด กปปส.แล้ว ผมก็เห็นพันธมิตรฯ ที่จำนวนก็ไม่น้อย มีความรู้สึกว่าในเมื่อผมไม่ออกแล้ว คุณสุเทพออก ลุงสุเทพออก ก็เลยไปร่วมกับลุงสุเทพ เพราะฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ชัดว่า มาสุดท้ายแล้วผมตัดสินใจว่า ผมไม่ตัดชุดวิวาห์ให้คนอื่นหรอก เพราะผมอยู่ในเรือนจำ ผมก็มัน ท่องตลอดเวลาว่า กูจะไม่ยอมให้ใครมาหลอกใช้กูอีกต่อไป
นพรัฐ- ตอนนี้คุณสนธิก็อยู่ในฐานะคนที่แบกหม้อก้นดำคนหนึ่ง แล้วทีนี้มันมีกระแสเกิดขึ้นว่าจะเรียกร้องให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ออกมาตรการ ออกกฎหมายนิรโทษกรรมขึ้นมา โดยที่ยกเว้นในเรื่องของคดีทุจริต คดีอาญารุนแรง และความผิดต่อมาตรา 112 คุณสนธิในฐานะคนที่อาจจะได้รับการนิรโทษกรรมจากครั้งนี้ เห็นว่าเป็นอย่างไร
สนธิ- ผมเห็นด้วย ที่ผมเห็นด้วยไม่ใช่เพราะว่าจะเกิดประโยชน์กับผม การปรองดองที่แท้จริง การประชุม ประท้วง ทั้งเสื้อแดง เสื้อเหลือง กปปส. เป็นการแสดงออกทางการเมือง เมื่อเป็นการแสดงออกทางการเมืองแล้ว ถ้าเราอยากให้ชาติบ้านเมืองสงบ เราต้องกำจัดข้อสงสัยตรงนี้ออกไป เข้าไปยึดสถานที่ เข้าไปยึดตรงโน้น เดินขบวนผิดกฎหมาย โน่นนี่นั่น อย่างที่คุณพูด อาญารุนแรง คือไปยิงคนตาย ไปเผาบ้านเผาเมือง
นพรัฐ- แม้ว่าจะมีแรงจูงใจมาจากการเมือง
สนธิ- ถูกต้อง แต่เมื่อมีการเสียชีวิต มันก็ผิด ป.วิ. อาญา เพราะฉะนั้นแล้วอะไรก็ตาม ถ้าตัดเรื่อง 112 เรื่องอาญารุนแรงออกไป แล้วก็ทุจริต ผมคิดว่าการชุมนุมพวกนี้ทางการเมืองนะ ต้องนิรโทษกรรมให้หมด มันถึงจะเริ่มนั่งคุยกันได้ เพราะผมเห็นแล้วสมัย คสช. ที่ พล.อ.ประวิตร ท่านเป็นประธานในการนิรโทษกรรม ในการปรองดอง ผมพูดเลยว่าปรองดองแบบนี้ไม่สำเร็จ ทำไม่สำเร็จ เพราะว่าเอาคนไปนั่งคุยกัน คนมันนั่งคุยกันโดยมีปืนจ่อหัว มันก็ฉีกยิ้ม ผมรับไม่ได้เลยที่ผมเห็นจตุพร พรหมพันธุ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ มานั่งฉีกยิ้มกับฝ่ายตรงข้าม เพราะผมรู้ว่าเขาก็ฉีกยิ้มไปอย่างนั้นแหล่ะ แต่ในใจเขาไม่ยอมรับ เพราะฉะนั้นแล้วการปรองดองในยุค คสช. ต้องถือว่าล้มเหลวทุกประการโดยสิ้นเชิง ถึงแม้ว่าจะสร้างภาพขนาดไหน แต่ผลที่ออกมาเป็นข้อเท็จจริงที่เห็นได้ชัด
Cr.mgronline.com คลิกอ่านเพิ่มเติมhttps://mgronline.com/politics/detail/9620000089232